ราคาปกติ 935 บาท
ราคาสมาชิก 700 บาท
ส่วนลด 235 บาท
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คังเซน บิวติ คลอรอยบอส (คลอโรฟิลล์)
ส่วนประกอบที่สำคัญ: 1 ซอง (2 กรัม) ประกอบด้วย
1.Rooibos Extract Powder สารสกัดจากชารอยบอส 200 มก. (10%)
2.Sodium Copper Chlorophyllin โซเดียม คอปเปอร์ คลอโรฟิลล์ลิน 200 มก. (10%)
3.Maltodextrin มอลโตเดกซ์ตริน 1,600 มก. (80%)
ปริมาณบรรจุ: 30 ซอง (ซองละ 2 กรัม)
วิธีใช้ ชงดื่มกับน้ำสะอาด
วิธีชง : 1 ซอง ผสมน้ำเย็น 1 – 1.5 ลิตร
ผสมผลิตภัณฑ์ KOLLAPHYLL คังเซน บิวติ คลอรอยบอส จำนวน 1 ซองในน้ำเย็นที่บรรจุในขวดประมาณ 1 – 1.5 ลิตร เขย่าให้เข้ากัน แล้วดื่มได้เลย ผลิตภัณฑ์ คอลลาฟิลล์สามารถชงดื่มในเวลาไหนก็ได้ ไม่ว่าจะพร้อมรับประทานอาหาร พร้อมไปกับการนั่งทำงาน หรือวันเวลายามว่าง
เพียงวันละ 1 ซอง
คำแนะนำ
1. เด็กและสตรีมีครรภ์ ไม่ควรรับประทาน
2. ควรรับประทานอาหารหลากหลายครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่เหมาะสมเป็นประจำ
3. ไม่มีผลในการป้องกัน หรือรักษาโรค
ประโยชน์ของ คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll)
เป็น ที่ทราบกันดีว่า chlorophyll เป็น pigment ที่พบในพืชที่มีสีเขียว และใช้ในการสังเคราะห์แสงของพืช โครงสร้างของ chlorophyll นั้นคล้ายคลึงกับ heme ใน hemoglobin ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในเลือด จึงมีผู้เรียก chlorophyll ว่าเป็น “the blood of plants” จึงมีการศึกษาถึงฤทธิ์ของ chlorophyll ดังนี้
1. Antimutagenic และ Anticarcinogenic activities (antioxidant activity)
Chlorophyll และ chlorophyllin (ซึ่งเป็น derivative ของ chlorophyll) มีฤทธิ์ antimutagenic ในการทดลองแบบ in vitro ต่อ mutagens หลายชนิด รวมทั้ง aflatoxin B1 ด้วย นอกจากนี้ chlorophyll และ chlorophyllin ยังมีฤทธิ์ anticarcinogenic effects ใน model ของสัตว์ทดลองด้วย ทั้งนี้เนื่องมาจาก โมเลกุลของ chlorophyll สามารถจับกับ mutagens และ carcinogens ต่างๆ ได้เป็น complexes และจะลดการดูดซึมของสารก่อมะเร็งเหล่านั้นได้
ได้ มีการศึกษาถึงฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียของ chlorophyll มาตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 40 ซึ่งผลการทดลองใน in vitro แสดงให้เห็นว่า chlorophyll มีสมบัติเป็น bacteriostatic โดยเฉพาะการติดเชื้อกลุ่ม Streptococci และ Staphylococci ซึ่งเป็นสาเหตุที่สำคัญของการติดเชื้อในโรงพยาบาล นอกจากนี้ chlorophyll ยังสามารถกำจัดกลิ่นเหม็นจากบาดแผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยในการสร้าง connective tissue ด้วย (3) สำหรับการใช้ chlorophyll ในมนุษย์ส่วนใหญ่แล้วจะใช้เป็น dietary supplements ซึ่งทำให้ chlorophyll มี claims ต่างๆ มากมาย ดังนี้
3. กำจัดกลิ่นที่เกิดจากอวัยวะภายในร่างกาย (Internal Deodorant)
มี การใช้ chlorophyllin ชนิดทาบนแผลเพื่อกลบกลิ่นเหม็นจากบาดแผลมาตั้งแต่ช่วงค.ศ.1940-1950 และต่อมาก็มีการนำมารับประทานในผู้ป่วยที่ทำ colostomies และ ileostomies เพื่อกลบกลิ่นอุจจาระ มี case report ถึงการใช้ใน indication นี้ โดยขนาดของ chlorophyllin ที่ใช้เพื่อกลบกลิ่นอุจจาระในผู้ป่วย ostomy คือ 100-200 mg/day ในขณะที่มีการศึกษาแบบ placebo-controlled trial หนึ่งที่พบว่าการรับประทาน chlorophyllin ขนาด 75 mg วันละ 3 ครั้ง ไม่ได้มีประสิทธิภาพดีกว่า placebo ในการกลบกลิ่นอุจจาระในผู้ป่วย colostomy ยังมีอีกหลาย case reports ที่กล่าวว่า การรับประทาน chlorophyllin 100-300 mg/day จะสามารถลดกลิ่นปัสสาวะและกลิ่นอุจจาระในผู้ป่วยที่กลั้นอุจจาระหรือปัสสาวะ ไม่อยู่ได้ นอกจากนี้ ยังมีการใช้ chlorophyllin ในผู้ป่วยที่มีภาวะ trimethylaminuria (ผู้ป่วยที่มีการขับ trimethylamine ซึ่งมีกลิ่นคาวปลาออกจากร่างกาย) ซึ่งการศึกษาในผู้ป่วยชาวญี่ปุ่น 7 คน ที่มีภาวะดังกล่าว พบว่า การให้ chlorophyllin 60 mg รับประทาน 3 ครั้งต่อวัน เป็นเวลา 3 สัปดาห์ สามารถลดระดับ trimethylamine ในปัสสาวะได้อย่างมีนัยสำคัญ
4. ช่วยในการรักษาบาดแผล (Wound Healing)
ใน ช่วงทศวรรษที่ 40 นั้น มีการวิจัยพบว่า chlorophyllin solutions สามารถชะลอการเจริญของ anaerobic bacteria ในหลอดทดลองได้ และจะสามารถเร่งการหายของแผลในสัตว์ทดลองได้ จึงมีการนำ chlorophyllin ไปใช้เป็นยาภายนอกในรูปแบบ solutions และ ointment ในผู้ป่วยที่มีแผลเปิดเป็นระยะเวลานาน ดังมีการศึกษาในช่วงปลายทศวรรษที่ 40-50 ที่เป็นแบบ uncontrolled ขนาดใหญ่ในผู้ป่วยที่มีแผลหายช้า เช่น มี vascular ulcers และ pressure (decubitus) ulcers พบว่า การทา chlorophyllin สามารถช่วยให้แผลหายได้ดีกว่าการรักษาปกติ ช่วงปลายทศวรรษที่ 50 ได้มีการเติม chlorophyllin ลงไปใน papain และ ointment ที่มี urea เป็นส่วนประกอบในการลดการอักเสบเฉพาะที่ ช่วยให้แผลหายเร็วและกลบกลิ่นที่ไม่ดี ซึ่งตำรับ ointment ของ papain หรือ urea ที่มีการเติม chlorophyllin นี้ ยังคงมีการสั่งจ่ายกันอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา
5. รักษาอาการท้องผูก (Constipation)
ใน อดีตพบว่ามีการใช้ chlorophyll ในผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับทางเดินอาหาร เช่น อาการท้องผูก ทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นด้วย โดยการศึกษาในผู้ป่วยสูงอายุ 62 คนที่อยู่ในสถานพักฟื้น พบว่า chlorophyllin มีประสิทธิภาพในการช่วยควบคุมกลิ่นอุจจาระและระบบขับถ่ายของร่างกายให้ดี ขึ้นในภาวะท้องผูกเรื้อรัง และยังช่วยลดอาการแน่นท้องได้ด้วย ซึ่งในการศึกษานี้ไม่พบความเป็นพิษหรือภาวะความเจ็บป่วยอื่นใด
6. ช่วยลดพิษหรืออาการข้างเคียงจากยาบางชนิดได้ (Help protect against some toxins, ameliorate some drug side effects)
Chemotherapeutic drugs เป็นอีกแหล่งหนึ่งของ free radicals ซึ่งจะไปทำลายเนื้อเยื่อต่างๆ ก่อให้เกิดเป็น side effects ได้ จากฤทธิ์ antimutagenic ของ chlorophyll จึงได้มีการใช้ chlorophyllin เพื่อลด side effect ของ cyclophosphamide โดยมีการศึกษาในหนูถีบจักรถึงประสิทธิผลของ chlorophyllin ในการลด side effect ของ cyclophosphamide และศึกษาว่า chlorophyllin รบกวนประสิทธิภาพในการต้านมะเร็งของ cyclophosphamide หรือไม่ โดยให้ chlorophyllin ผสมในน้ำดื่ม (1%) 2 วัน หรือให้โดยการป้อน (200 mg/kg) 2 ชั่วโมงก่อนการรักษาด้วย cyclophosphamide (220 mg/kg) ผลพบว่า side effect ของ cyclophosphamide ที่เกี่ยวกับระบบทางเดินปัสสาวะและการกดไขกระดูกนั้นลดลงในทั้ง 2 กลุ่ม ในขณะที่ประสิทธิภาพของฤทธิ์ต้านมะเร็งไม่ได้ลดลงเมื่อใช้ chlorophyllin ดังนั้น chlorophyllin จึงให้ผลดีเมื่อใช้ร่วมกับการรักษาด้วย cyclophosphamide
7. รักษาภาวะนิ่วชนิด calcium oxalate stone ได้ (Treatment of calcium oxalate stone disease)
มี การศึกษาใน in vitro เกี่ยวกับ chlorophyllin ในรูปสารละลายความเข้มข้น 20 mcg/ml ใน normal urine จะยับยั้งการเกิดผลึกและยับยั้งการโตของผลึก calcium oxalate dehydrate ได้เมื่อเปรียบเทียบกับผลก่อนการทดลอง ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าอาหารและยาที่มีส่วนประกอบของ chlorophyllin อาจช่วยในการรักษา calcium oxalate stone disease ได้
8. ลดอาการของ rhinitis, otitis externa และ otitis media ได้ (Reduce symptoms of rhinitis, otitis externa and otitis media)
Chlorophyll มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ทำให้สามารถใช้ chlorophyll ในการรักษาบาดแผลที่ติดเชื้อได้ นอกจากการติดเชื้อบริเวณแผลเปิดแล้ว chlorophyll ยังสามารถยับยั้งเชื้อในระบบ otolaryngology ได้ โดยมีการศึกษาในการใช้ chlorophyll ใน 100 cases ของผู้ป่วยที่มีอาการหวัด หรือ acute rhinitis และ rhinosinusitis พบว่า chlorophyll สามารถใช้รักษาการติดเชื้อและการอักเสบบริเวณหูชั้นในแบบเรื้อรังได้
9. กระตุ้นการสร้างเลือดในผู้ป่วยโลหิตจางได้ (Stimulant blood cell formation in anemia)
Chlorophyll ช่วยกระตุ้นการสร้าง hemoglobin ที่มี oxygen อยู่ และจะสามารถนำไปสร้างพลังงานให้ร่างกายได้ นักวิทยาศาสตร์ได้พบข้อมูลจากการศึกษาในผู้ป่วยที่มีภาวะ iron-deficiency anemia ว่าถ้าหากผู้ป่วยได้รับ iron และ chlorophyll ในการรักษาร่วมกัน จะทำให้จำนวนเม็ดเลือดแดงและระดับ hemoglobin เพิ่มขึ้นเร็วกว่าการใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง และในการศึกษาในสัตว์ทดลองทำให้นักวิทยาศาสตร์หลายท่านได้ตั้งสมมติฐานว่า chlorophyll สามารถสร้างเลือดได้โดยเกี่ยวข้องกับการกระตุ้นไขกระดูก
ทำไมการทานผักสีเขียวจึงได้คลอโรฟิลล์ในประมาณที่น้อย ?
เนื่อง จากคลอโรฟิลล์ในพืชจะถูกห่อหุ้มด้วยเส้นใยอาหาร ซึ่งร่างกายของคนไม่สามารถย่อยเส้นใยอาหารได้ ดังนั้นหากต้องการคลอโรฟิลล์จากการกินผัก ก็จะต้องเขี้ยวใบผักให้นานๆ เหมือนการเคี้ยวหมาก เพื่อให้คลอโรฟิลล์หลุดออกจากเส้นใยที่ห่อหุ้มไว้ หรืออีกวิธีก็เอาใบผักไปปั้นหรือบด ให้ละเอียด
ทานคลอโรฟิลล์มีผลข้างเคียงหรือไม่ ?
งาน วิจัยไม่พบผลข้างเคียงจากการรับประทานคลอโรฟิลล์ แต่จะมีอาการปรับสภาพขึ้นอยู่กับสภาพของร่างกายแต่ละคนว่ามีสารพิษ สารเคมีมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีสารเคมีมากก็จะมีอาการมาก อาการปรับสภาพที่พบเช่น อาการไข้ขึ้น อาการท้องร่วง เกิดผดขึ้นตามแขน หรือขา บางรายอาจเกิดบนใบหน้า อาการเหล่าจะเป็นอยู่ราว 7-14 วัน จากที่ผ่านมาพมว่าอาการเหล่านี้จะเกิดกับผู้ที่มีสารพิษสะสม เป็นส่วนใหญ่ คนที่ดูแลร่างกายดีจะไม่พบอาการปรับสภาพ แต่อาจมีอาการอื่นๆที่แตกต่างออกไปเช่น ทานอาหารได้มากขึ้น
คลอโรฟิลล์มีข้อห้ามในการรับประทานหรือไม่
ตามงานวิจัยไม่มีข้อห้าม แต่เท่าที่พบคนที่เป็นโรค SLE และ Hyper Thyroid จะมีปัญหาหากรับประทานคลอโรฟิลล์ที่สกัดมาจากใบอัลฟาฟ่า
ถ้าผสมคลอโรฟิลล์ในน้ำแล้วทิ้งไว้ดื่มหลายวันจะมีปัญหาหรือไม่ ?
ไม่ ควรทำเช่นนี้ เนื่องจากอาจเกิดเชื้อโรคขึ้นในน้ำ อาหารส่วนใหญ่ที่เป็นรูปแบบน้ำ จะต้องมีการเติมสารกันบูดเพื่อป้องกันการเกิดเชื้อ ซึ่งส่งผลทำให้เป็นพิษต่อร่างกาย ดังนั้นจึงควรผสมแล้วดื่มเลยจะได้ผลดีที่สุด
คลอโรฟิลล์ช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้อย่างไร ?
อาการ ปวดประจำเดือนมีด้วยกันหลายสาเหตุ ตั้งแต่ความผิดปกติของฮอร์โมน การขาดสารอาหาร เลือดน้อย เกิดการตกค้างของ ของเสียในมดลูก ไม่พบงานวิจัยที่ตีพิมพ์อย่างเฉพาะเจาะจงว่าไปช่วยลดหรือรักษาอาการปวดประจำ เดือนโดยตรง แต่มีการเก็บประวัติผู้ใช้จำนวนมากพบว่ามีอาการที่ดีขึ้น โดยสัณนิฐานเบื้องต้นว่าน่าจะเกิดจากการที่ดื่มคลอโรฟิลล์แล้วทำให้ระบบการ สร้างเม็ดเลือดดี(สมบูรณ์) และการทำลายเม็ดเลือดที่ไม่ได้คุณภาพเป็นไปได้อย่างปกติมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ร่างกายสามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้ดียิ่งขึ้น จึงทำให้อาการปวดลดน้อยลง อย่างไรก็ดีสำหรับผู้ที่มีปัญหาปวดประจำเดือน ควรรับประทาน คอรอลแคลเซียม เป็นประจำทุกวันและควรหลีกเลี่ยงยาแก้ปวดซึ่งมีผลข้างเคียง และหากใช้ระยะยาวอาจส่งผลต่อการเกิดมะเร็งมดลูกในอนาคตได้
|
|
|
|